พระสมเด็จวัดระฆัง กรุหลังคาโบสถ์ ถือเป็นหนึ่งในพระเครื่องที่มีความสำคัญสูงในวงการพระเครื่องไทย จากการสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่าพระสมเด็จชุดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงประมาณปี ๒๔๐๘ (พร้อมๆกับในช่วงการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้ว) พระสมเด็จชุดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม โดยมูลเหตุในการจัดสร้างเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อมอบให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ การสร้างจึงจัดเป็นงานวิจิตรศิลป์ โดยใช้พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆัง (พิมพ์ใหญ่) และมีการลงรักปิดทองล่องชาด โดยฝีมือช่างหลวง(ช่างสิบหมู่) จึงถือว่าเป็นงานประณีตศิลป์ที่หาชมได้ยากมากในปัจจุบันนี้
** ที่มาของกรุหลังคาโบสถ์
ภายหลังจากที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ได้ถึงแก่ชีพิตักษัย พระสมเด็จที่ท่านสร้างไว้ได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในบริเวณวัดระฆังฯ โดยบางส่วนถูกบรรจุไว้ในกรุเพดานพระวิหาร หรือ หลังคาโบสถ์ เป็นเหตุให้พระสมเด็จจากกรุนี้มีลักษณะที่สมบูรณ์ และมิได้มีผู้ใดพบเห็น จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นปีที่ครบ ๑๐๐ ปี ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านสิ้นชีพิตักษัย จึงได้มีการทำนุบำรุงพระวิหารครั้งใหญ่ ทำให้ได้ค้นพบพระสมเด็จ บนเพดานวิหารวัดระฆัง แต่ทางวัดไม่ได้มีการบอกกล่าวให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ คงรู้กันเฉพาะในหมู่พระภิกษุเพียงไม่กี่รูป ช่างที่เข้าไปบูรณะ กรรมการวัดและบุคคลใกล้ชิดเท่านั้น
พระสมเด็จที่พบนี้ ถูกวางสุมกองไว้บนเพดานวิหารมิได้มีการใส่ภาชนะใดปกปิดไว้ จำนวนมากถึงหลายพันองค์ โดยมีฝุ่นเกาะอยู่ทั่วไป พบรอยทางเดินปลวก ขี้มอด เกาะติดอยู่แต่มีจำนวนไม่มาก มีแต่ที่แปลกและสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือพระสมเด็จที่พบนั้นล้วนปิดทองล่องชาด*ทั้งสิ้น และยังคงมีรักชาดทองหลงเหลืออยู่ ทองคำเปลวที่ติดอยู่นั้นยังสุกอร่ามไม่หมองค้ำเลย ส่วนที่หลุดลอกจะหลุดลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นเนื้อในขององค์พระที่งดงามมาก ขาวดังงาช้าง มีความแห้ง แต่แกร่ง แสดงให้เห็นถึงความประณีตและฝีมือของช่างสมัยโบราณอย่างแท้จริง
(*กล่าวคือ พระสมเด็จที่ปิดทองล่องชาด จัดเป็นพระสมเด็จที่มีการจัดทำเป็นพิเศษ เพื่อมอบให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเท่านั้น มิได้มอบให้แก่ประชาชนทั่วไป พิมพ์จึงงดงามชัดเจนสมกับเป็นพิมพ์ที่ช่างหลวง(ช่างสิบหมู่)ได้แกะถวาย)
**ความโดดเด่นและมวลสาร
พระสมเด็จวัดระฆัง กรุหลังคาโบสถ์มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากพระสมเด็จในยุคอื่นๆ พระที่ออกมามีความสวยงาม เนื้อหาสมบูรณ์ ด้วยการสร้างอย่างประณีตจากฝีมือช่างหลวง และมีความโดเด่นอย่างยิ่งในเรื่องของมวลสารอันล้ำค่า ที่ใช้ในการสร้าง ทำให้พระกรุนี้มีคุณค่าคุณค่าทางพุทธคุณและความคงทน โดยมวลสารหลักที่ใช้ในการสร้างประกอบไปด้วย
1. ** ผงวิเศษ : เป็นส่วนผสมสำคัญที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทำขึ้นเอง ประกอบด้วย "ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห" ซึ่งเป็นผงที่ได้จากการเขียนอักขระแล้วลบออก ตามวิชาทางพุทธคุณเพื่อเสริมความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นมงคล
2. ** ปูนขาว ปูนเปลือกหอย : เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จ เนื้อปูนนี้มีความเหนียวและแห้งไว เมื่อนำมาผสมกับผงวิเศษจะช่วยให้พระเครื่องคงทนต่อการสึกกร่อนได้ดีมาก มีความแข็งแรงคงทน และช่วยเพิ่มความเรียบเนียนสวยงาม ทำให้องค์พระมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ตามสูตรเฉพาะของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
โดยเปลือกหอยที่นำมาใช้จะนำมาจากเปลือกหอยทะเล ซึ่งจะถูกเผาและบดละเอียดจน
เป็นผง ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับเนื้อพระ (การใช้เปลือกหอยทะเลเป็นวัตถุดิบหลักมีสาเหตุจากความเชื่อในเรื่องพุทธคุณและมงคล เพราะเปลือกหอยทะเลมีลักษณะที่แข็งแรงและสามารถนำมาใช้ทำปูนได้ดี)
3. ** เกสรดอกไม้ : มีการคัดสรรเกสรดอกไม้จากดอกไม้ที่มีความหมายทางพุทธคุณ ในการผสมมวลสาร เพื่อเสริมความมงคลให้กับพระเครื่อง และให้กลิ่นหอมในบางองค์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้ที่นิยมใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และมีความเชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยเสริมพลังสิริมงคล ตัวอย่างของเกสรดอกไม้ที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จ ได้แก่ :
เกสรบัวหลวง : บัวหลวงเป็นดอกไม้ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และปัญญา
เกสรพิกุล : ดอกพิกุลมีความหมายในเรื่องความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง
เกสรจำปา : จำปามีความเชื่อว่าช่วยเสริมความรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล
เกสรดอกมะลิ : เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความสงบ และความรักในศาสนา
เกสรบุนนาค : เชื่อกันว่าช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายและเสริมความสุขสงบ
ดอกไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความหมายทางพุทธคุณเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเพิ่มความมงคลและเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระเครื่อง
4. ** น้ำอ้อยและน้ำผึ้ง : มีการใช้น้ำอ้อยและน้ำผึ้งเพื่อผสมกับเนื้อปูนและผงวิเศษ เพื่อช่วยให้เนื้อพระเรียบเนียนและเหนียวติดกันดี นอกจากนี้ยังเพิ่มความทนทานให้กับองค์พระด้วย
5. ** รักหลวง : เป็นรักที่มีเนื้อเข้มข้นและเหนียว ซึ่งได้จากไม้ต้นสกุลรักใหญ่ในท้องถิ่นประเทศไทยโดยมากมักมีสีดำสนิทหรือน้ำตาลเข้ม เมื่อเคลือบแล้ว ผิวจะมีความด้านและทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี
6. ** รักจีน : รักจีนมีเนื้อบางกว่าและให้ความเงางามมากกว่ารักไทย มีสีสันที่หลากหลาย เช่น สีแดง สีเหลือง สีทอง การลงรักจีนจะทำให้ผิววัตถุดูบางและมันเงา เน้นความประณีตในงานปิดทอง ทำให้องค์พระมีความละเอียดอ่อนและสวยงามสูง
7. ** ทองคำเปลว : มีการผสมเศษทองคำเปลวที่ใช้ในพิธีกรรมหรือการปิดทององค์พระ เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคล
พระสมเด็จวัดระฆัง กรุหลังคาโบสถ์ มีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้พระเครื่องรุ่นนี้มีคุณค่าอย่างสูงในวงการพระเครื่องไทย :
มวลสารที่ใช้ : พระสมเด็จกรุนี้ถูกสร้างขึ้นจากมวลสารคุณภาพสูงดังที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ผงวิเศษ ปูนขาว และส่วนผสมทางพุทธคุณที่มีเอกลักษณ์ ทำให้พระแต่ละองค์มีพุทธคุณสูงและศักดิ์สิทธิ์มาก
พิมพ์ทรง : พระสมเด็จวัดระฆังมีพิมพ์ทรงที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะพิมพ์ใหญ่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการลงรายละเอียดอย่างประณีตในแต่ละองค์ ทำให้พระจากกรุนี้มีลักษณะสวยงาม คมชัด และสมบูรณ์
การลงรัก : พระสมเด็จบางองค์จากกรุหลังคาโบสถ์จะมีการลงรัก ซึ่งช่วยปกป้องผิวของพระจากการสึกกร่อนจากความชื้นและความร้อน เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของเนื้อพระ ทำให้พระมีความทนทานและสวยงามยิ่งขึ้น
ความสมบูรณ์ขององค์พระ : เนื่องจากถูกเก็บรักษาไว้ในกรุหลังคาโบสถ์ องค์พระที่ถูกค้นพบมักจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และไม่มีความเสียหายจากความชื้นหรือแร่ธาตุในดินเหมือนกับพระที่ถูกบรรจุไว้ในกรุใต้ดิน
ทั้งหมดนี้ทำให้พระสมเด็จวัดระฆัง กรุหลังคาโบสถ์ เป็นพระเครื่องที่มีความสวยงามและคุณค่าทางจิตใจสูง
Comments